เด็กสาว ม.ต้น เขียนเรียงความสุดซึ้ง ‘ปฏิเสธคนจังหวัดฟุกุชิมะ’ ชนะใจคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ

  • 11 May 2020
  • 2737
หางาน,สมัครงาน,งาน,เด็กสาว ม.ต้น เขียนเรียงความสุดซึ้ง ‘ปฏิเสธคนจังหวัดฟุกุชิมะ’ ชนะใจคนญี่ปุ่นทั้งประเทศ

ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์อันน่าเศร้าภัยพิบัตินิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 ณ จังหวัดฟุกุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เป็นเหตุทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปลดปล่อยสารกัมมันตรังสีออกมา และถือว่าเป็นภัยพิบัตินิวเคลียร์ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เชอร์โนบิลในปี 1986

 

 

สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาต่อจากนั้นก็คือ ความเกลียดชังของผู้คนรอบข้างที่มีต่อจังหวัดฟุกุชิมะและชาวบ้านที่อยู่อาศัยเติบโตภายในจังหวัดนี้ ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนเลือกให้มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และไม่อยากให้เกิดความหายนะเช่นนี้ด้วย

เพื่อให้ผู้คนได้ตระหนักถึงความเกลียดชังที่เกิดขึ้นในใจของชาวญี่ปุ่น Ruzo Maoma อายุ 15 ปี นักเรียนชั้นมัธยมปี 3 ได้ส่งเรียงความเรื่อง ‘ปฏิเสธตัวตนของจังหวัดฟุกุชิมะ’ เข้าประกวดในงาน การเขียนเรียงความสิทธิมนุษยชนจากนักเรียนชั้นมัธยมต้นทั่วประเทศครั้งที่ 36 โดยมีใจความดังต่อไปนี้

 

ปฏิเสธตัวตนของจังหวัดฟุกุชิมะ

 

นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ฉันช็อคมาก สำหรับการเป็นคนจังหวัดฟุกุชิมะอย่างฉัน ฉันเกิดและเติบโตในเมืองมินะมิโซมะ จังหวัดฟุกุชิมะ จนถึงกระทั่งชั้น ป. 3

เมื่อพูดถึงเมืองมินะมิโซมะ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงทางด้านเทศกาลและวัฒนธรรม ให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์ในอดีตมาอย่างช้านาน

ฉันรักผู้คนและเมืองมินะมิโซมะในแบบที่เป็นอยู่อย่างนี้…

แต่ทว่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เกิดเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดเนื่องจากเหตุแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และนั่นก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

เพราะสารกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมา ทำให้เมืองมินะมิโซมะกลายเป็นเมืองที่ผู้คนอยู่อาศัยไม่ได้อีกต่อไป และตัวฉันเองก็ต้องย้ายหลบภัยไปอยู่กับญาติพร้อมกับครอบครัวที่จังหวัดโทะชิงิแทน

เมื่อไปถึงที่นั่น ก็พบกับข้อความสติ๊กเกอร์บนรถยนต์คันหนึ่ง ในลานจอดรถร้านค้าที่แวะข้างทางว่า ‘ไม่ยอมรับคนจากจังหวัดฟุกุชิมะ’

หลังจากที่เห็นข้อความนั้น มันทำให้ฉันรู้สึกหวั่นใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป จนเกิดเป็นคำถามในใจว่า ‘นี่มันอะไรกัน’ และฉันก็รู้สึกเศร้าเมื่อเข้าใจในความหมายของมันแล้ว

แม้จะผ่านมาเป็นเวลาร่วม 5 ปีกว่าแล้ว ความเกลียดชังและอคติที่มีต่อจังหวัดฟุกุชิมะยังไม่จางหายไปเสียทีเดียว

เพื่อนคุณยายของฉันได้เดินทางนำสิ่งของไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหวในจังหวัดคุมาโมโตะ ทั้งๆ ที่ฟุกุชิมะกับคุมาโมโตะไม่ได้ใกล้กันเลย

แต่ทว่ากลับถูกปฏิเสธต่อหน้าด้วยประโยค ‘พวกเราไม่ต้องการสิ่งของที่มาจากฟุกุชิมะ’ อาจจะเป็นเพราะว่าคนในพื้นที่นั้นเกรงกลัวสารกัมมันตรังสี

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ประสบภัยพิบัติในช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ ทั้งๆ ที่ทุกคนก็เป็นชาวญี่ปุ่นเหมือนกัน ทำไมถึงกล้าพูดถ้อยคำที่ไม่ถนอมน้ำใจและไร้สาระสิ้นดีเฉกเช่นนี้ออกมาได้

แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งของเหล่านั้นไม่ได้ถูกมอบให้ที่นั่น แต่กลับส่งมอบให้ที่อื่นแทน ซึ่งเมื่อฉันได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นมันทำให้รู้สึกย่ำแย่ในจิตใจ เพียงเพราะข่าวลือกัมมันตรังสีในจังหวัดฟุกุชิมะยังคงถูกกล่าวขานต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าหากว่าเมืองและผู้คนที่ฉันเติบโตมาด้วยกันถูกปฏิเสธตัวตนแบบนี้ ฉันรู้สึกว่าชีวิตของฉันก็ถูกปฏิเสธไปด้วยเช่นเดียวกัน

จากเหตุแผ่นดินไหวในครั้งนั้น ฉันไม่กล้าที่จะพูดถึงความรู้สึกของตัวเองให้คนอื่นฟังอีกเลย นั่นเป็นเพราะว่าฉันกลัวถูกคนที่มีอคติต่อคนจังหวัดฟุกุชิมะมองในแง่ร้าย แต่ทว่าฉันก็พบกับจุดเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง

ย้อนกลับไปเมื่อตอน ป.5 ฉันได้ย้ายมาเรียนที่เมืองโอนะงะวะ จังหวัดมิยะงิ ซึ่งการย้ายมาอยู่ในสถานที่แปลกใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังคงกังวลภายในใจกับสิ่งที่จะต้องเผชิญต่อไป

ฉันถึงกับคิดว่าผู้คนจะมองฉันในแง่ร้าย เป็นคนไม่ดี เพียงเพราะว่ามาจากจังหวัดฟุกุชิมะ…

หลังจบการแนะนำตัวหน้าชั้นเรียนและกลับมานั่งที่โต๊ะของตัวเองภายในห้องเรียน นักเรียนรอบข้างฉันนั้นเป็นเด็กผู้ชายหมดเลย และมีหนึ่งในนั้นถามขึ้นมาว่า ‘เธอมาจากฟุกุชิมะอย่างงั้นเหรอ?’

คำถามง่ายๆ แต่ทำให้รู้สึกแย่ยิ่งกว่าสิ่งใด และยิ่งไปกว่านั้นกังวลว่าถ้าบอกไปแล้วจะเกิดอะไรตามขึ้นมาอีกรึเปล่า

อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ฉันคิด เพราะเป็นคำพูดที่ว่า ‘เธอคงจะลำบากมากเลยนะ’

และคนอื่นก็เสริมขึ้นมาว่า ‘พวกเรามาเป็นเพื่อนกันมั้ย ไปเล่นด้วยกันเถอะ’ ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกดีด้วย

สำหรับเมืองโอนะงะวะเองก็ประสบกับภัยพิบัติแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงเช่นกัน เพื่อนของฉันสูญเสียทั้งบ้านและครอบครัวไปกับคลื่นซึนามิ แต่พวกเขาก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปด้วยความร่าเริง ทำให้ฉันรู้สึกว่าผู้คนที่นี่เข้มแข็งมากๆ

แต่ในขณะเดียวกันที่ตัวฉันเองคิดว่าบอบช้ำมากแล้ว คนเหล่านี้ลำบากกว่าฉันอีกหลายเท่าตัว จนทำให้ฉันรู้สึกละอายใจตัวเองเหลือเกิน

ผู้คนในโอนะงะวะเข้มแข็งจริงๆ และพวกเขาก็ช่วยเหลือฉันหลายครั้งหลายครา

และสิ่งที่ฉันได้รับมาทั้งหมดนี้ก็คือ ‘อคติ’ และ ‘ความเห็นอกเห็นใจ’

อคติ คือ การตัดสินสิ่งรอบข้างภายใต้ความคิดของตัวเองเพียงคนเดียว

ฉันคิดว่ามันเป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมาก โดยที่ไม่สนใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเลย อย่างเช่นในเวลาที่คุณจะต้องพบปะกับผู้อื่น คุณจะมีอคติเกิดขึ้นในใจบ้างรึเปล่า

‘คนนั้นเป็นคนโง่เพียงเพราะทำคะแนนสอบได้ไม่ดี’ หรือ ‘คนนั้นเป็นคนที่เข้าถึงยากเพียงเพราะเขาไม่ค่อยพูดคุยกับใคร’

อคติเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ เวลาที่เรามองคนอื่น เพียงแต่ว่าจะมีเล็กน้อยหรือมากแค่ไหน

แต่สำหรับอคติที่มีมากจนบดบังทุกสิ่ง มันสามารถทำร้ายจิตใจคนได้โดยที่เราเองไม่เคยรู้ตัวเลย

ในทางตรงกันข้าม ‘ความเห็นอกเห็นใจ’ คือการเข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายที่มี อย่างที่ฉันได้ย้ายมาที่โอนะงะวะ ก็มีเพื่อนที่เข้าใจในตัวฉัน

การที่พวกเขาเข้าใจในความเจ็บปวดของฉัน เหมือนดั่งความเจ็บปวดของตัวเอง และพร้อมที่จะก้าวข้ามมันไปด้วยกันนั้น ทำให้ฉันรู้สึกประทับใจเป็นอย่างยิ่ง

และด้วยเหตุนี้เอง

ถ้าหากใครซักคนหนึ่งกำลังเจ็บปวด ฉันก็พร้อมที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์เฉกเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้นแล้ว ฉันอยากจะช่วยเหลือผู้คนที่ทุกข์ทรมาน เหมือนดั่งตัวฉันเองที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนรอบข้าง ต่อจิตใจที่มัวหมองให้กลับมาต่อสู้ได้อีกครั้ง

 

Ruzo Maoma

 

จากการประกวดเรียงความสิทธิมนุษยชนดังกล่าว ซึ่งมีโรงเรียนทั้งหมด 7,338 โรงเรียน ส่งเข้าประกวดทั้งสิ้น 972,553 หัวข้อ

และเรื่อง ‘ปฏิเสธตัวตนของจังหวัดฟุกุชิมะ’ ก็ทำให้ Ruzo Maoma ชนะการประกวดและได้รับรางวัลจากสำนักกฎหมายเซนได เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2016 ที่ผ่านมา

ที่มา : ishinomaki.kahokuishinomaki.kahoku(2)moj, brandnew-s

JOBBKK.COM © Copyright All Right Reserved

Jobbkk has only one website. In no case, we have an affiliate, agent or appointee. Please do not rely on any other website, email, telephone, SMS or other contacting channel. If it is a case, we will prosecute under a lawsuit in the upmost as allowed. DBD

Top